O (ชุดที่ 2) - Osler’s signs and diseases

Osler’s signs and diseases
William Osler (1849-1919)
- on Medical Education

        การเรียกชื่อโรคหรือสัญญาณโรคตามชื่อแพทย์ผู้ค้นพบโดยเฉพาะทางอายุรศาสตร์ยังคงเป็นที่นิยมใช้กันอยู่
ถึงแม้ในปัจจุบันอาจจะน้อยลง  ชื่อปรมาจารย์อายุรแพทย์วิลเลียม ออสเลอร์ (ค.ศ. 1849-1919) เป็นตัวอย่างที่ดี 
ในยุคนั้นอายุรแพทย์มักจะสนใจโรคทางอายุรกรรมทั่วไปรวมทั้งโรคผิวหนัง  ออสเลอร์สนใจโรคติดเชื้อ โรคหัวใจ
โดยเฉพาะโรคเยื่อบุห้องหัวใจอักเสบเหตุติดเชื้อแบคทีเรีย (subacute bacterial endocarditis หรือ SBE) 
โรคถุงหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (pericarditis) อาการหัวใจขาดเลือด (angina pectoris) และโรคอื่น ๆ อีกมาก 
สัญญาณโรคที่มักมีชื่อออสเลอร์ติดอยู่ด้วยก็คือ รอยโปนที่ผิวหนัง (Osler’s nodes) เกิดที่มือและเท้า ปวดเจ็บ
มีสีแดงคล้ำ ที่พบในผู้ป่วย SBE ซึ่งปัจจุบันทราบกันดีว่าเป็นผลจากภูมิคุ้มกันซับซ้อน (immune complex) 
โรค polycythaemia vera หรือโรคออสเลอร์-วาเกซ (Osler-Vaquez disease) เป็นตัวอย่างอีกโรคหนึ่ง
ที่ออสเลอร์บรรยายถึงผู้ป่วยรายแรกที่พบว่า ....ในฤดูร้อนใบหน้าแดงเหมือนดอกกุหลาบแต่ในฤดูหนาวหน้า
กลับสีคล้ำเหมือนสีคราม  ....โรคที่รู้จักกันดีในชื่อออสเลอร์อีกโรคหนึ่งก็คือ โรคหลอดเลือดเล็กพองตกเลือด
เหตุพันธุกรรม (hereditary haemorrhagic telangiectasia) ที่รู้จักกันดีในนามโรครองดู-ออสเลอร์-เวเบอร์
(Rendu-Osler-Weber disease)  นายแพทย์อองรี ยูล หลุยส์ มารี รองดู (Henri Jule Louis Marie Rendu)
แพทย์เวชกรรมชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงแห่งยุค (1844-1902) เป็นผู้รายงานเป็นคนแรกตามด้วยออสเลอร์และ
นายแพทย์เฟรเดอริค พาร์คส์ เวเบอร์ (Frederick Parkes Weber) แพทย์ชาวอังกฤษ (1863-1962) 
ผู้ป่วยด้วยโรคนี้มักมีรอยโรคที่ผิวหนัง เยื่อบุในปาก จมูก ปอด ตับและสมอง  อาการที่พบบ่อย ได้แก่
เลือดกำเดาออก  เลือดออกในกระเพาะลำไส้ ตั้งแต่ผู้ป่วยยังเด็กหรือหนุ่มสาว เป็นโรคพันธุกรรมที่ถ่ายทอดแบบ
ทายกรรมลักษณะเด่น (autosomal dominant) แต่พบผู้ป่วยอยู่จนแก่เฒ่าดังเช่นตัวอย่างรายงานล่าสุดผู้ป่วย
อายุ 83 ปี ชาวอาร์เจนตินา ไปหน่วยฉุกเฉินที่โรงพยาบาลด้วยอาการปวดท้องมากและซีดจากเลือดออกจาก
เยื่อบุช่องท้อง (Haemoperitoneum)

        ออสเลอร์มีพื้นเพเป็นชาวอังกฤษ ปู่และพ่อเป็นทหารเรือ มีภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองฟาลมัธ คอร์นวอลล์
(Falmouth, Cornwall)  บิดาอพยพไปอยู่แคนาดา  ออสเลอร์จึงเรียนจบเป็นแพทย์ที่โทรอนโต ออนแทรีโอ
ต่อมาจึงย้ายถิ่นฐานไปอยู่สหรัฐอเมริกา และเป็นหนึ่งในศาสตราจารย์ 4 คน (ทางอายุรศาสตร์  ศัลยศาสตร์ 
สูตินรีเวชศาสตร์และพยาธิวิทยา) ที่ร่วมกันก่อตั้งโรงเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอบกินส์  
กิตติศัพท์ชื่อเสียงในฐานะอายุรแพทย์และครูแพทย์ทำให้ออสเลอร์ในช่วงปลายชีวิตการทำงานได้รับแต่งตั้งเป็น
ราชศาสตราจารย์ (Regius Professor) ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด  การให้การอบรมสั่งสอนศิษย์เน้นการสอนและ
ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยเป็นหลักดังคำกล่าวที่เป็นที่คุ้นหูของอายุรแพทย์ทั่วไปของออสเลอร์ที่ว่า การฝึกอบรม
เป็นแพทย์ต้องมีหลักปฏิบัติเหมือนแล่นเรือในทะเลต้องมีเข็มทิศแต่ถ้านักศึกษาแพทย์ไม่ฝึกปฏิบัติก็เหมือนกับไม่ได้
ออกทะเลเลย !

        การศึกษาแพทย์ในสหรัฐอเมริกาในยุคนั้นเจริญก้าวหน้าโดยเฉพาะในตะวันออกของประเทศ ที่รัฐบริเวณ
ที่เรียกกันว่า อังกฤษใหม่ (New England)  แต่บุคคลที่มีบทบาทอย่างมากในการปฏิรูปแพทยศาสตรศึกษา
เมื่อ 100 ปีมาแล้วกลับไม่ใช่แพทย์แต่เป็นครูในโรงเรียนชั้นมัธยมที่รักศึกษาศาสตร์เป็นชีวิตจิตใจและใฝ่รู้ตลอดคือ
อะบราแฮม เฟลคซ์เนอร์ (Abraham Flexnor) จากเมืองหลุยส์วิลล์ (Louisville) มลรัฐเคนทัคกี (Kentucky) 
การกล้าปิดโรงเรียนแพทย์ที่ไม่ได้มาตรฐานของรัฐบาลตามคำแนะนำของเฟลคซ์เนอร์ที่ริเริ่มโดยมูลนิธิแอนดรูคาร์เนกี (Andrew Carnegie Foundation) ทำให้การฝึกอบรมแพทย์ในสหรัฐอเมริกาที่เน้นการให้การศึกษาทางวิทยาศาสตร์
พื้นฐาน  การเน้นการฝึกปฏิบัติในหอผู้ป่วยและการวิจัยทำให้แพทยศาสตรศึกษาในสหรัฐอเมริกาเจริญก้าวหน้า
อย่างมากภายในช่วงเวลาครึ่งศตวรรษ  จนสหราชอาณาจักรต้องหันไปดูเป็นตัวอย่าง !  ประวัติแพทยศาสตรศึกษา
ในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาน่าจะเป็นอุทาหรณ์ที่ดีสำหรับประเทศไทย

  
แนะนำเอกสาร
1)  Silverman ME, Murray TJ, Bryan CS.  (2003).  The Quotable Osler.  American College of Physicians.
     Philadelphia.  283 pages.

2)  Wikipedia.  (2013).  Rendu-Osler-Weber disease.

3)  Dietrich A, Cristiano A, Serra M., et al.  (2013).  Haemoperitoneum with hereditary haemorrhagic
     telangiectasia.  Lancet.  381 : 962.
    
4)  Wikipedia.  (2013).  Sir William Osler.
 
5)  Wikipedia.  (2013).  Abraham Flexnor.

6)  Miller H.  (1966).  Fifty years after Flexnor.  Lancet.  ii : 647-654.

7)  Doman T.  (2005).  Osler, Flexnor, apprenticeship and 'the new medical education'.
     J R Soc Med.  98 : 91-95.


 

 

[ back ]