B (ชุดที่ 2) - Bell's palsy

Bell’s palsy
Sir Charles Bell
(1774-1842)


        อัมพาตเบลล์ คือ โรคกล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีกเสียเพราะเส้นประสาทที่ศีรษะเส้นที่ 7 สั่งการไม่ได้ทันทีโดย
ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด  ปัจจุบันเชื่อว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นโรคนี้เป็นจากเชื้อไวรัส  ผู้ป่วยบางรายก่อนใบหน้าเบี้ยว
มีอาการปวดกกหูอยู่ 2-3 วัน และบางรายใบหน้าค่อย ๆ เบี้ยวมากขึ้นใน 3-4 วันก็มี  รายที่เป็นมากลิ้นส่วนหน้า
ข้างเดียวกันอาจจะไม่รู้รสเพราะเส้นประสาท chorda tympani เสียด้วย และบางรายมีเสียงหึ่งจากภาวะหูไวเกิน (hyperacusis) ในหูซีกนั้นเพราะกล้ามเนื้อสเตพีเดียส (stapedius muscle) เป็นอัมพาต

        อัมพาตเบลล์มักจะทำให้ผู้ป่วยไปหาแพทย์ด่วนเพราะตกใจ ยิ่งผู้ที่มีอาชีพเป็นพิธีกรหรือเป็นดารานักแสดงจะ
เดือดร้อนกังวลใจมากเพราะใบหน้าเบี้ยว หลับตาไม่ได้หรือไม่สนิท และกะพริบตาไม่ได้  ถึงแม้ผู้ป่วยร้อยละ 80
อาการจะดีขึ้นมากแต่ที่หายอย่างสมบูรณ์มีไม่เกินร้อยละ 65 ที่เหลือมีกล้ามเนื้อบางส่วนเสียไปถึงเป็นแพทย์ก็อาจจะ
ตรวจไม่พบ  ผู้ป่วยประมาณร้อยละ 7 เป็นซ้ำอีกได้  ผู้ป่วยที่เป็นทั้งสองซีกหน้าจากอัมพาตเบลล์พบได้แต่น้อย 
ถ้าพบแพทย์ต้องนึกถึงโรคอื่น เช่น กลุ่มอาการกีย์แยง-บาร์เร (Guillain-Barre syndrome)  การใช้ยาสเตีรอยด์
ช่วยได้บ้างถ้าให้ยาภายใน  3-4 วัน  ส่วนยาต้านไวรัสยังไม่มีผลพิสูจน์แน่ชัดถึงแม้จะพบดีเอนเอ (DNA) ของ HSV-1
(herpes simplex virus type 1) ในน้ำหล่อหุ้มเส้นประสาทหน้าของผู้ป่วย (endoneurial fluid) ด้วยอัมพาตเบลล์
เพราะ HSV-1 ที่พบอาจจะเป็นผลเนื่องจากเชื้อที่มีอยู่แล้วที่ปมประสาทสำแดงฤทธิ์อีกมากกว่าเป็นจากการติดเชื้อ
ครั้งแรก

        การพยากรณ์ว่าผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตเบลล์ด้วยการศึกษาประสาทสรีรวิทยาเริ่มมาประมาณ 60 ปีแล้ว 
ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเสริฐ บุญเกิด และผมได้ศึกษาผู้ป่วยอัมพาตเบลล์ 45 รายและได้รายงานไว้ในวารสาร
Muscle & Nerve ปีแรกเมื่อ ค.ศ. 1978  ปัญหาที่พบก็คือ ต้องรอ 6-7 วันหลังมีอาการอัมพาต แม้แต่การตรวจ
ด้วยการบันทึกคลื่นไฟฟ้าประสาท (electroneuronography หรือ ENoG) ที่นำมาใช้ในปี ค.ศ. 1979 โดยเฉพาะ
โดยนักโสตวิทยา (audiologist) ก็ต้องรอ 3 วัน กว่าใยประสาทนำออกเสื่อม (axonal degeneration) จะมีผล 
เรื่องอัมพาตเบลล์จึงยังมีเรื่องให้ศึกษาวิจัยต่อไปอีกมาก  ต่อไปนี้ผมจะขอเล่าเรื่องชีวประวัติของเบลล์ให้ทราบ
พอสังเขป

        เซอร์ ชาร์ลส์ เบลล์ เกิดที่ใกล้เมืองเอดินเบอระ เป็นลูกชายคนเล็กของนักบวช มีพี่ชายเป็นศัลยแพทย์ 
ทั้งคู่จบแพทยศาสตรบัณฑิต  ชาร์ลส์จบเมื่ออายุ 25 ปีแล้วทำงานหาประสบการณ์ที่นั่นจนอีก 5 ปีต่อมาจึงเดินทาง
เข้าลอนดอนโดยรถโดยสารแต่รถหยุดแค่เมืองฮันติงดอน (Huntingdon)  ชาร์ลส์ เบลล์ จึงต้องเดินทางเท้าต่อ
จนถึงปลายทาง  เบลล์ชอบวาดรูปมากมาก่อนจึงมีชื่อเสียงในฐานะจิตรกร จนเซอร์ เอสลีย์ คูเปอร์ (Sir Astley Cooper) ศัลยแพทย์ชื่อดังรู้จักซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเบลล์มาก นอกจากนี้เบลล์ยังสนใจกายวิภาคของสมองมาก
เป็นคนที่แยกเส้นประสาทสั่งการจากเส้นประสาทรับรู้  ได้รับแต่งตั้งเป็นศัลยแพทย์ที่ปรึกษาที่โรงพยาบาล
โรงเรียนแพทย์มิดเดิลเสกซ์อยู่ 10 ปีเศษก็ไปเป็นศาสตราจารย์ทางศัลยศาสตร์และกายวิภาคศาสตร์ที่ราชวิทยาลัย
ศัลยแพทย์แห่งลอนดอน จนได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานราชทินนามเป็นท่านเซอร์ (Knight of the British Empire
หรือ KBE) โดยพระเจ้าวิลเลียมที่ 4 เมื่อปี ค.ศ. 1833 ขณะใกล้อายุครบ 60 ปี  เป็นอยู่ 2 ปีก็ย้ายไปเป็นศาสตราจารย์
ที่มหาวิทยาลัยเอดินเบอระ  เบลล์ถึงแก่กรรมด้วยหัวใจวายกระทันหัน สิริรวมอายุได้ 68 ปี  ชื่อเสียงของเขา
เป็นที่รู้จักกันทั่วไปติดกับโรคอัมพาตหน้าครึ่งซีกที่ไม่ทราบสาเหตุจนปัจจุบัน

 
แนะนำเอกสาร
1)  Matthews WB.  (1982).  Diseases of the nervous system.  Fourth Edition.  Oxford: Blackwell
     Scientific Publications.  pp. 72-74.

2)  Matthews WB.  (1961).  Prognosis in Bell’s palsy.  BMJ.  ii : 215-218.

3)  Matthews WB.  (1980).  Bell’s palsy.  Medicine  3rd series (Oct.).  1759.
 
4)  Gilden DH.  (2004).  Bell’s Palsy.  N Eng J Med.  351 : 1323-1331. 

5)  Keane JR.  (1994)  Bilateral seventh nerve palsy: Analysis of 43 cases and review of the literature.  
     Neurology.  44 : 1198-1202.

6)  Pinho J, Racha S, Machado A, Lourenco E.  (2012).  A rare cause of recurrent peripheral facial palsy.  
     Arq Neuropsiquiatr.  70 : 67-68. 

7)  Boongird P, Vejjajiva A.  (1978).  Electrophysiologic findings and prognosis in Bell’s Palsy. 
     Muscle & Nerve.  1 : 461-466. 

8)  Pearce JMS.  (1993).  Sir Charles Bell (1774-1842).  J R Soc Med.  86 : 353-354.

9)  Pearce JMS.  (1999).  Bell’s or Friedreich’s palsy.   J Neurol Neurosurg Psychiatry.  67 : 732. 


 

 

[ back ]